ผลตรวจคลิปเสียง “คิมซูฮยอน” ปมดราม่า “คิมแซรน” นาน 7 เดือน สรุป “ระบุไม่ได้” ทำชาวเน็ตเสียงแตก
หลังจากที่นักแสดงหนุ่มชื่อดัง คิมซูฮยอน ตกเป็นประเด็นร้อนแรงเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จากกรณีคลิปเสียงหลุดบทสนทนาที่อ้างว่าเป็นของเขากับอดีตนักแสดงสาวผู้ล่วงลับ คิมแซรน ซึ่งมีเนื้อหาล่อแหลมและมีการพาดพิงในเชิงดูถูกผู้หญิง จนทางฝั่งคิมซูฮยอนต้องออกมาโต้แย้งว่าเป็นคลิปที่ถูกสร้างขึ้นโดย AI และดำเนินการทางกฎหมาย ล่าสุดผลการตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ได้ถูกเปิดเผยออกมาแล้ว
ผลตรวจชี้ “ระบุไม่ได้” ทางเทคนิค
รายงานจากสื่อเกาหลีใต้ระบุว่า สถาบันนิติวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (NFS) ได้แจ้งผลการตรวจพิสูจน์หลักฐานต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ หลังจากใช้เวลาตรวจสอบนานถึง 7 เดือน โดยผลสรุปออกมาว่า “ไม่สามารถระบุได้” ว่าคลิปเสียงดังกล่าวมีการใช้เทคโนโลยี AI ตัดต่อหรือไม่ในทางเทคนิค
สาเหตุหลักที่ทำให้ผลออกมาไม่ชัดเจน เนื่องจากไฟล์เสียงที่ส่งตรวจไม่ใช่ “ไฟล์ต้นฉบับ” แต่เป็นไฟล์ที่บันทึกเสียงต่อมาจากงานแถลงข่าว ทำให้มีเสียงรบกวนแทรกอยู่จำนวนมาก เทคโนโลยีในปัจจุบันจึงไม่สามารถแยกแยะร่องรอยการสังเคราะห์ของ AI ได้อย่างแม่นยำ
ทนายความโต้กลับเดือด จี้หาต้นฉบับ
ทันทีที่ผลการตรวจถูกเปิดเผย ทนายความตัวแทนของคิมซูฮยอนได้ออกมาตอบโต้กระบวนการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างดุเดือด โดยชี้ว่ามีช่องโหว่ร้ายแรงในการรวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งความล่าช้าในการส่งตรวจที่กินเวลานานกว่า 3 เดือน และความล้มเหลวในการนำไฟล์ต้นฉบับมาตรวจสอบ
ทางทนายความยืนยันหนักแน่นว่า ผลลัพธ์ที่ระบุว่า “ตรวจสอบไม่ได้” ไม่ได้หมายความว่าคลิปเสียงนั้นเป็น “ของจริง” พร้อมท้าทายให้ฝั่งผู้ปล่อยข่าวส่งไฟล์ต้นฉบับที่สมบูรณ์มาพิสูจน์ความจริง หากมั่นใจว่ามีหลักฐานจริง
ย้อนรอยความสัมพันธ์และกระแสชาวเน็ต
ในส่วนของข้อมูลที่ถูกเปิดเผยก่อนหน้านี้ ทางครอบครัวของคิมแซรนเคยให้ข้อมูลว่า ทั้งคู่เริ่มคบหากันตั้งแต่ฝ่ายหญิงอายุ 15 ปี และมีความสัมพันธ์ยาวนานถึง 6 ปี ซึ่งเป็นประเด็นที่สร้างความฮือฮาให้กับสังคมอย่างมากในขณะนั้น
เมื่อข่าวผลตรวจล่าสุดเผยแพร่ออกไป ชาวเน็ตต่างมีความเห็นแตกเป็นสองฝ่าย บางส่วนมองว่าน้ำเสียง จังหวะการหยุด และเสียงสะอื้นในคลิปมีความเป็นธรรมชาติเกินกว่าที่ AI จะทำได้ จึงตั้งข้อสังเกตว่าฝ่ายชายอาจกำลังใช้เทคนิคยื้อเวลา แต่ในขณะเดียวกัน แฟนคลับและชาวเน็ตอีกส่วนก็มองว่าไม่ควรด่วนสรุปโดยไม่มีหลักฐานชัดเจน และควรให้เกียรติผู้เสียชีวิตด้วยการหยุดนำเรื่องราวของเธอมาเป็นประเด็นทางสังคม