ไปเยี่ยมภรรยาที่เรือนจำทุกวัน 2 ปีกว่าแล้ว ปราปต์ปฎล ลั่นไม่อาย เชื่อมั่น กู๋กี๋ ไม่ผิด รอศาลตัดสินยันความบริสุทธิ์ รับทำตกงาน ถูกเปลี่ยนตัวละคร ถ้าผมปล่อยมือเขา แล้วเขาจะสู้ยังไง
ยังคงเดินทางไปเยี่ยมภรรยาที่เรือนจำทุกวัน เป็นเวลา 2 ปีกว่าแล้ว สำหรับนักแสดงรุ่นใหญ่ ปราปต์ปฎล สุวรรณบาง ซึ่งเชื่อมั่นในตัว กู๋กี๋ ภคมน สีลุน ภรรยา หลังจากตกเป็นผู้ต้องหาในคดี Forex-3D และต้องเข้าเรือนจำไปในระหว่างรอการตัดสินคดี ล่าสุด (4 พ.ย.67) ปราปต์ ได้ให้สัมภาษณ์ในงานเปิดตัวภาพยนตร์สยองขวัญอันลือลั่นจากมองโกเลีย “THE CIRCLE OF DEATH กระชากลากโคตร” ณ ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ เผยถึงเรื่องที่ไปเยี่ยมภรรยาที่อยู่ในเรือนจำ 2 ปีกว่า เพราะรักและเชื่อมั่นไม่ได้ทำผิด และไม่เคยอายที่จะบอกใครแฟนอยู่เรือนจำ รอศาลตัดสินยืนยันความบริสุทธิ์
ขออนุญาตถามถึงเรื่องภรรยาเป็นอย่างไรบ้าง?
“พี่ก็ไปเยี่ยมที่เรือนจำทุกวัน ให้กำลังใจกัน เขาก็ปรับตัวได้ระดับหนึ่ง ทุกวันนี้สิ่งที่ทำได้ก็คือแค่รอให้ได้รับการตัดสินสักที อยากให้กระบวนการมันไปถึงขั้นตอนของการพิพากษา มันเป็นเรื่องที่เขาจะต้องพิสูจน์ตัวเอง เท่าที่มีการไต่สวนคดีมาแล้วเราไปนั่งฟัง เราได้เห็นการสืบพยานโจทก์ไป 90 เปอร์เซ็นต์ จากที่เราไม่รู้จักเลยว่าธุรกิจนี้มันเป็นยังไง ไปนั่งฟังจนเริ่มรู้ว่ามันเป็นแบบนี้เหรอ เขาทำกันแบบนี้เหรอ คือน้องเขาเป็นจำเลยคนที่ 21 จริงๆ แล้วความเกี่ยวข้องกับคดีจะอยู่ที่ลำดับต้นๆ เพราะฉะนั้นก็เลยไม่มีพยานคนไหนที่พูดพาดพิงถึงน้องเขาเลย”
“ผมว่าตอนนั้นแม้แต่คนทำธุรกิจก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าผิดหรือถูก แม้แต่เราไปนั่งฟังตอนนี้เรายังมองไม่ออกว่ามันผิดหรือมันถูก สิ่งที่เราหวังที่สุดอยากให้กระบวนการยุติธรรมมันเกิดขึ้นสักที ซึ่งจากที่ไปนั่งฟังผมยังไม่เห็นว่าเขาทำอะไรผิดเลยสำหรับตัวน้องเขานะ ผมยังไม่เห็นว่าเขาไปเกี่ยวข้องตรงไหน”
เวลาที่ไปเยี่ยม บทสนทนาที่พูดคุยกัน?
“มันไม่ต้องพูดอะไรเยอะ การกระทำสำคัญกว่าคำพูด ผมบอกแล้วว่าในเมื่อผมเชื่อมั่นในตัวเขา แต่หน้าที่พิสูจน์มันต้องเป็นของเขา ความยุ่งยากมันอยู่ตรงที่ว่าเขาถูกรวมกล่าวหา โดยที่เขาก็ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรผิด แต่ถ้าจะบอกว่าก็กินใช้เสวยสุข ผมว่าตรงนั้นมันต้องแยกให้ออกว่าการใช้ชีวิตในตอนที่ยังไม่ถูกดำเนินคดีในฐานะของคนที่เป็นสามีภรรยา สิ่งใดที่สามีให้กินให้ใช้เลี้ยงดู เขาไม่รู้หรอกว่าการได้รับการเลี้ยงดูจากสามีมันจะเป็นเรื่องผิด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาก็ต้องไปพิสูจน์ว่าเขาไม่เกี่ยวข้อง ซึ่งก็กำลังอยู่ในขั้นตอนนั้นอยู่”
เป็นห่วงเขาแค่ไหน?
“เท่าที่ผมไปเยี่ยมทุกวันมันก็เป็นสิ่งที่เขายึดมั่นและมีกำลังใจที่ดี มันไม่ใช่แค่กำลังใจสำหรับเขา มันก็เป็นกำลังใจสำหรับผมด้วย การที่เข้าไปเชื่อมั่นใครสักคนที่เราเชื่อว่าเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด ความเชื่อมั่นในตัวเขาที่ผมเข้าไปมันต้องมีอุปสรรคขวากหนาม คลื่นที่มันซัดสาดมาโดนตัวผมที่จะต้องฟกช้ำดำเขียว อย่างที่ทุกคนทราบผลกระทบกับชีวิตผมมันก็เกิดขึ้นมาร่วม 2 ปีแล้ว ซึ่งก่อนที่จะมั่นใจที่จะเข้ามาร่วมชะตากรรมที่ไม่ได้ก่อ และผมก็เชื่อว่าเขาก็ไม่ได้ก่อ แต่ว่ามันไปเกี่ยวข้องผมคิดซะว่ามันเป็นวิบากกรรม ในเมื่อเราเชื่อมั่นในตัวเขา ถ้าเราไม่อยู่ข้างเขาแล้วใครจะอยู่ เพราะว่าสุดท้ายถ้าผมปล่อยมือเขา แล้วเขาจะสู้ยังไง ไม่เป็นไรเรายังอยู่ตรงนี้”
“ส่วนตัวผมเองอย่างที่ทุกคนทราบได้มีการนำเสนอข่าวกันไปว่าผมเกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน หรือว่าผมเกี่ยวข้องกับการเอารถคันนั้นไปขายบ้าง ผมก็ได้บอกตั้งแต่ต้นว่าผมพร้อมจะพิสูจน์ตัวเอง และรอการพิสูจน์ตัวเอง ซึ่งจริงๆ แล้วกระบวนการพิสูจน์ว่าอะไรผิดอะไรถูก เจ้าหน้าที่รู้อยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเมื่อผมเข้าไปเกี่ยวข้อง ผมแค่ต้องตอบให้ได้ว่าทำไมแค่นั้นเอง ซึ่งผมก็ตอบไปแล้วว่าทำไม การตอบของผมมันตอบมาตั้งแต่ก่อนจะถูกแจ้งข้อกล่าวหา มันตอบเหมือนเดิมทุกอย่างมาตลอด เราอยู่ภายใต้กฎหมายกระบวนการยุติธรรมเราก็หวังว่าความบริสุทธิ์ของเรา ข้อเท็จจริงสิ่งที่เราพูดไปกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริง มันจะปกป้องเราเอง มองในแง่ดี มันก็ได้รับรู้ว่าอย่างน้อยคำพูดที่ว่า คนเราถ้าเชื่อมั่น แล้วก็รักใครสักคน ก็ต้องสู้และพิสูจน์จับมือไปด้วยกัน”
เป็นบทพิสูจน์รักแท้กับภรรยา?
“เป็นการพิสูจน์รักแท้มั้ย ผมว่ามันเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ผมคิดว่าในทางกลับกันถ้าผมเป็นคนที่ต้องโดนอย่างนั้นบ้าง ผมก็เชื่อมั่นว่าเขาก็คงทำแบบนี้ ไม่เฉพาะผม ผมไม่ใช่คนพิเศษขนาดนั้น ใครก็ได้มนุษย์ปุถุชนสามัญชนคนทั่วไปที่รู้ว่าข้อเท็จจริงคืออะไร ก็คงทำเหมือนกันกับผม”
หลายคนมองว่า 2 ปีมันเหมือนเวลา 20 ปีสำหรับคนที่รอมันคือความทรมาน?
“ผมไม่ได้คิดว่ามันจะกี่ปี คือผมรอแค่การพิสูจน์การตัดสินของศาล แล้วคำว่า 10 ปี 20 ปี 2 ปีหรืออะไรก็แล้วแต่ มันไม่มีความหมายเท่ากับคำว่าเวลาต่อจากนี้ไป คือผมใช้ชีวิตมาพอแล้วเพราะฉะนั้นเวลาที่เหลือชีวิตที่เหลือผมให้เขา ผมก็ทำตามที่พูดแค่นั้นเอง”
เดินทางไปเยี่ยมภรรยาทุกวันตลอดระยะเวลา?
“2 ปีกว่า วันไหนที่เรือนจำไม่ปิด ไม่ใช่วันหยุดนักขัตฤกษ์ ผมไปทุกวัน”
เรื่องกระบวนการยุติธรรมตอนนี้ไปถึงขั้นตอนไหน?
“ส่วนของน้องก็สืบพยานโจทก์น่าจะ 90 เปอร์เซ็นต์แล้ว พอเสร็จแล้วจะเป็นเรื่องของสืบพยานจำเลย แล้วศาลท่านก็ตัดสิน สืบพยานโจทก์ปีกว่าแล้ว ในส่วนของน้องคงต้องรอในเรื่องของการสืบพยานจนจบ”
“งานการผมอย่างที่เห็นตามข่าว ถามว่าผลกระทบยังไงบ้าง เห็นผมไปซ้อมละครเวทีที่รัชดาลัย แถลงข่าวไปเรียบร้อยสุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนตัวผม หรือละครที่ผมถ่ายไปหลายๆ เรื่อง 4-5 คิวแล้วสุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนตัว ทุกวันนี้ผู้ใหญ่ที่เป็นผู้จัดก็ยังโทรมาถามว่าจบหรือยังเรื่องของผมจะได้ให้ทำงานต่อ เพราะว่าผู้ใหญ่เมตตาผมตลอด ผมทำงานมา 30 ปี ไม่เคยขาดงาน ผมน่ารักกับสื่อนะ แต่ผมเป็นคนเก็บตัว ขี้อายไม่ค่อยคุยกับสื่อ ผมจะคุยเฉพาะเรื่องที่มันจำเป็น เราไม่ใช่วัยรุ่นที่มันจะเป็นกระแสข่าวเราก็เลยไม่ได้คุย”
“อย่างที่ผ่านมามันกระทบชีวิตผม 2 ปีไม่ต้องทำงานแล้ว จะมีงานก็อย่างที่เห็น เป็นงานหนังต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่”
มันจะจบภายในปีสองปีนี้มั้ย?
“ผมคิดว่าเดี๋ยวมันก็ต้องจบครับ เพราะว่าสุดท้ายแล้วอะไรที่มันเป็นข้อเท็จจริง เรื่องราวความเป็นจริงที่มันเกิดขึ้นมันเปลี่ยนแปลงไม่ได้เพราะว่าขั้นตอนของการเกิดเรื่องต่างๆ มันมีเรคคอร์ดเป็นหลักฐานกันหมดว่าใครทำอะไรที่ไหนอย่างไรและทำเพื่อเจตนาอะไร โดยที่มีพยานหลักฐานทั้งพยานบุคคลและพยานที่มันเป็นหลักฐานกล้องวงจรปิด มีครบหมด ผมทำทุกอย่างด้วยความบริสุทธิ์ใจและเปิดเผย ในเมื่อเจ้าหน้าที่เขามีหน้าที่กล่าวหา เราก็มีหน้าที่ไปแก้ข้อกล่าวหาแค่นั้นเอง ต่างคนต่างทำหน้าที่”
“อย่างน้องติดมา 2 ปีกว่า ก็คงเหมือนอย่างเบนซ์ เรซซิ่ง เขาติดมากี่ปีพอสุดท้ายเขาไม่ได้ผิดอะไร เขาก็รอด ชีวิตเขาก็เสียไป 4-5 ปี เหมือนกันเอาง่ายๆ น้องตอนนี้ 2 ปีกว่าเขาก็เสียไปแล้ว เขาอยู่ภายในเรือนจำ 2 ปีกว่าถ้าตัดสินมาว่าเขาไม่ผิด เขาก็เสียเวลาไป ส่วนผมยังไม่ได้ถูกตัดสินอะไร ถูกแจ้งข้อหาแล้วอัยการยังไม่ได้ส่งฟ้องด้วยนะ เพราะฉะนั้นผมก็จะอยู่ตรงนี้เหมือนถูกจองจำอยู่ในตรงนี้ ไปตรงไหนก็ไม่ได้ ผมไม่ได้รู้สึกว่าเวลาผมไปเจอสื่อ ใครถามผมแล้วผมจะอายที่จะไม่ตอบ หรือว่าจะอายที่จะบอกว่าผมไปเรือนจำทุกวันไปเยี่ยมแฟน ผมไม่อายเลยที่จะบอกว่าแฟนผมอยู่ในเรือนจำ ผมยังเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมที่จะพิสูจน์ตัวเองว่าบริสุทธิ์ได้ ผมไม่รู้สึกว่าจะต้องอาย เพราะเรารู้ว่าไม่ได้ทำอะไรผิด”
“คนอย่างผมไม่มีวันที่จะเสพชีวิตด้วยความสุขของตัวเองบนความทุกข์ของคนอื่น ผมยอมตายดีกว่า ผมไม่ทำ ผมก็เชื่อมั่นว่าคนของผมสิ่งที่เขาประสบอยู่มันเป็นเรื่องที่เขาไม่ได้เป็นฝ่ายทำโดยตรง แต่เขาไปอยู่ในวงจรชีวิตของคนที่เกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้นจะบอกว่าเขาไม่เกี่ยวเลยก็ไม่ได้ เขาเกี่ยวแบบไหน แล้วเขาเข้าไปร่วมกระทำการหรือเปล่า ในเมื่อเขาไม่ได้ร่วมกระทำการ เขาก็ต้องไปชี้แจงตรงนั้น ส่วนตัวผมพอไปโพรเท็กต์คนๆ หนึ่งแล้วมาโดนตรงนี้ ถามว่าย้อนเวลาได้มีคนเตือนพี่ว่าอย่าไปยุ่งเดี๋ยวจะโดนไปด้วย ย้อนเวลาไปได้ผมก็ทำเหมือนเดิม ภารกิจของผมทุกวันคือไปเยี่ยมแฟน สิ่งที่จะทำให้เขาใจฟูขึ้นมาได้ คือเห็นหน้าเราทุกวัน มันทำให้เราใจฟูด้วย เราไปเยี่ยมวันละ 15 นาที ถามว่าใช้เวลาเดินทางไปเยี่ยมนานมั้ย เอาง่ายๆ กระบวนการทุกอย่างกว่าจะได้ไปเยี่ยม มันใช้เวลาประมาณครึ่งวัน เพื่อเยี่ยม 15 นาที (แล้วค่อยไปทำงาน) ก็ตกงานอยู่จะไปทำงานอะไร(ยิ้ม)”