เว็บไซต์ Mothership รายงานข่าวช็อกวงการพริตตี้ไต้หวัน เมื่อ “ไช่ อวี่ซิน” (Cai Yuxin) พริตตี้ชื่อดังวัย 20 กว่า ผู้ได้รับฉายาว่า “หลิน จือหลิง แห่งวงการพริตตี้” เสียชีวิตลงแล้ว หลังนอนโคม่าในโรงพยาบาลนานถึง 19 วัน จากภาวะแทรกซ้อนหลังได้รับยา “โปรโพฟอล” (Propofol) จากคลินิกเสริมความงามชื่อดังในกรุงไทเป ประเทศไต้หวัน เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมตั้งข้อหาทางอาญากับแพทย์และพยาบาลที่เกี่ยวข้อง

จากรายงานของสื่อท้องถิ่น ระบุว่า ไช่ อวี่ซินมีปัญหาเกี่ยวกับอาการนอนไม่หลับเรื้อรัง จึงตัดสินใจเข้ารับการรักษาที่ “Fairy Clinic” ตามคำแนะนำของเพื่อน โดยแพทย์ได้ฉีดยาโปรโพฟอล ซึ่งเป็นยาสลบชนิดออกฤทธิ์เร็ว เพื่อช่วยให้เธอผ่อนคลายและหลับได้ อย่างไรก็ตาม ระหว่างที่เธอกำลังรับยา แพทย์ได้ออกจากคลินิกไปทำธุระ ปล่อยให้พยาบาลดูแลผู้ป่วยตามลำพัง

ทั้งนี้ โปรโพฟอลถือเป็นยาที่ควรใช้อย่างเคร่งครัดในห้องผ่าตัดหรือห้อง ICU ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด แต่เมื่อแพทย์ละเลยหน้าที่ ไม่นานหลังจากนั้น ไช่ อวี่ซินก็เริ่มมีอาการผิดปกติ
แพทย์ได้รับแจ้งเหตุฉุกเฉินทางโทรศัพท์ จึงรีบแนะนำวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นและกลับมาที่คลินิก ก่อนรีบนำตัวเธอส่งโรงพยาบาล ทว่าอาการของเธออยู่ในขั้นวิกฤติ – สมองไม่ตอบสนอง ระบบหายใจล้มเหลว และหัวใจหยุดเต้น

ตามรายงานของ SETN ระบุว่า ไช่ อวี่ซินได้รับยาเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม และอยู่ในภาวะโคม่าเป็นเวลา 19 วัน ก่อนที่ครอบครัวจะตัดสินใจถอดเครื่องช่วยหายใจในวันที่ 12 มิถุนายน โดยส่งร่างให้เจ้าหน้าที่ดำเนินการชันสูตร
ด้านตำรวจไทเปได้ส่งทีมสอบสวนเข้าไปยังคลินิกเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ยึดหลักฐานและควบคุมตัวแพทย์ผู้ให้ยา คือ นพ.อู๋ รวมถึงพยาบาลที่ปฏิบัติหน้าที่ในช่วงเกิดเหตุไปสอบสวน โดยแพทย์รายนี้ให้การว่า เขาให้ยาโปรโพฟอลผ่านสายน้ำเกลือในอัตรา 1 หยดต่อวินาที แต่ผู้ป่วยบ่นว่าช้าเกินไป อย่างไรก็ตาม เขาปฏิเสธที่จะเร่งปริมาณ เพราะเสี่ยงอันตราย
เมื่อกลับมาที่คลินิก เขาพบว่ายาถูกปรับให้หยดเร็วขึ้น ซึ่งเขาอ้างว่าไม่ทราบว่าใครเป็นผู้เปลี่ยนค่าดังกล่าว จึงเชื่อว่าอาการโคม่าของไช่ อวี่ซินเกิดจากการได้รับยาเกินขนาดในเวลาสั้น ๆ

ขณะเดียวกัน ยังพบความผิดปกติจากกล้องวงจรปิดภายในคลินิก เนื่องจากมีผู้ลบภาพเหตุการณ์ออกทั้งหมด ซึ่งทำให้การสอบสวนต้องพิจารณาอย่างละเอียดว่าเป็นความประมาทหรือมีเจตนาแทรกแซงหลักฐานหรือไม่
คดีนี้ยังอยู่ระหว่างการสอบสวนและอาจนำไปสู่การดำเนินคดีทางอาญากับแพทย์และผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไป
