รู้จัก โจ ณัฐวุฒิ ชีวิตแสนโลดโผน นักมวยนอกกระแส พลาดแชมป์ แต่ชนะใจคนดู

Author:

รู้จัก โจ ณัฐวุฒิ ชีวิตแสนโลดโผน นักมวยนอกกระแส สู่พนักงานโรงแรม ก่อนบินล่าฝันอเมริกา เสียงชื่นชมมากล้น แม้ชกแพ้ ตะวันฉาย อดคว้าแชมป์โลก

“Smokin’ Jo” โจ ณัฐวุฒิ นักชก วัย 34 ปี จาก จ.นครราชสีมา โชว์ฟอร์มได้อย่างน่าประทับใจ ในการชกชิงแชมป์กับ “ซ้ายดารา” ตะวันฉาย พีเค. แสนชัยมวยไทยยิม หลังแพ้คะแนนแบบค้านสายตา ทำให้เจ้าตัวชวดการคว้าแชม์โลก ONE รุ่น เฟเธอร์เวต ในศึก ONE 167 ทีอิมแพค อารีน่า เมืองทอง

แม้จะพ่ายแพ้ในไฟต์ดังกล่าว แต่ โจ กลับได้เสียงชื่นชมจากแฟนมวยเป็นจำนวนมาก และต่างมองว่า โจ น่าจะเป็นผู้ชนะในไฟต์นี้

สำหรับ โจ ละทิ้งเส้นทางการเป็นนักฟุตบอล สู่เวทีมวยไทยในวัย 10 ขวบ จนกระทั่งอายุ 18 ปี เขาตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะทุ่มเทชีวิตให้กับวงการนี้ โดยสั่งสมประสบการณ์ชกมวยในประเทศไทยก่อนตัดสินใจย้ายไปที่อเมริกา เมื่อปี 2013

“Smokin’ Jo” โจ ณัฐวุฒิ นักชก วัย 34 ปี

“โจ ณัฐวุฒิ” คว้าแชมป์โลกรายการของอเมริกาอย่าง Lion Fight ได้ถึง 2 รุ่น ทำให้เขามีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงการหมัดมวยต่างแดน ก่อนตัดสินใจพิสูจน์ตัวเองในเวทีระดับโลก วัน แชมเปียนชิพ และพร้อมต่อสู้กับคู่แข่งขันทุกคน

โดยเว็บไซต์ onefc.com เขียนเล่าประวัติของ “โจ ณัฐวุฒิ” ไว้ดังนี้

1 นักมวยไทยนอกสายตาสู่การเป็นพนักงานโรงแรม

ย้อนกลับไปในปี 2551 สมัยที่ “โจ ณัฐวุฒิ” ยังโลดแล่นอยู่ในวงการมวยไทย โดยใช้ชื่อว่า “ธนะศักดิ์ ส.บุญเลี้ยง” หรือ “เพชรชมพู ท็อปคิงส์บ็อกซิ่ง” ในเวลานั้นแม้ “โจ” จะได้รับโอกาสขึ้นโชว์ฝีมืออันไม่ธรรมดาตามเวทีทหาร และรายการถ่ายทอดสดอยู่บ่อยครั้ง

แต่สุดท้ายจะด้วยวาสนาหรืออะไรก็ตามแต่ ชื่อของเขากลับไม่ดังติดตลาด จนทำให้กลายเป็นนักมวยที่อยู่นอกกระแส และได้รับค่าตัวสูงสุดในขณะนั้น เพียงแค่ไฟต์ละ 7,000 บาทเท่านั้น

โจ ณัฐวุฒิ ชกมวยไทย

หลังผ่านไป 1 ปีครึ่ง “โจ” เริ่มรู้ตัวว่าตนเองคงไม่ประสบความสำเร็จในวงการมวยไทย จึงตัดสินใจหันหลังให้กับวงการเพื่อมองหาอาชีพใหม่ที่มั่นคงกว่าเดิม โดยตัดสินใจย้ายไปอยู่เกาะพะงัน จังหวัดสุราษฎร์ธานี และเลือกทำงานทุกอย่างในร้านอาหารและโรงแรม ซึ่งสามารถหาเงินได้มากกว่าการชกมวยเสียอีก

2 อยู่ไทยไม่รุ่ง มุ่งล่าฝันแดนลุงแซม

“โจ” ในขณะนั้นที่อายุ 23 ปี ได้รับการชักชวนจากคนรู้จักให้ไปอยู่อเมริกา แม้จะไม่ใช่เรื่องง่ายในการตัดสินใจ เนื่องจากภาษาอังกฤษ ก็ยังพูดไม่ได้ แต่ในเมื่อไม่เห็นช่องทางในเมืองไทยที่จะพลิกชีวิตให้ดีขึ้นได้ จึงขอตัดสินใจบินไปตายเอาดาบหน้า โดย “โจ” เริ่มต้นชีวิตใหม่ในอเมริกา ในเดือน มี.ค.2556 จากการทำงานเป็นผู้ช่วยกุ๊ก ที่โรงแรมบนเขาในรัฐโคโลราโด

โจ ณัฐวุฒิ

หลังทำงานหามรุ่งหามค่ำไปได้ไม่นาน โชคชะตาฟ้าลิขิตให้ “โจ” ได้มีโอกาสรู้จัก “ขุนพล เดชคำภู” หรือ “ขุนพล แก้วสัมฤทธิ์ (ช.โรจนชัย)” อดีตนักมวยไทยชื่อดัง ที่เป็นเจ้าของยิมในรัฐแอตแลนตา กำลังประกาศตามหาเทรนเนอร์สอนมวยไทย เพื่อไปทำงานที่ยิม กลายเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญให้ “โจ” ได้กลับมาทำงานในสิ่งที่ตัวเองรักอีกครั้ง

3 คว้าแชมป์โลกสองรุ่น โด่งดังคับอเมริกา

ในเดือน ส.ค.57 “โจ” ที่ในขณะนั้นทำหน้าที่เป็นเทรนเนอร์สอนมวยไทย ได้รับการทาบทามให้ขึ้นชกในรายการ Lion Fight ซึ่งเป็นรายการมวยไทยชื่อดังของอเมริกาในฐานะมวยแทน โดยแม้จะมีเวลาเตรียมตัวล่วงหน้าแค่ 10 วัน

แต่ “โจ” ไม่ขอปล่อยให้โอกาสทองหลุดลอย เลือกตอบรับข้อเสนอดังกล่าว และสามารถแจ้งเกิดได้ทันที ด้วยการเอาชนะมวยดังชาวบราซิล อย่าง “คอสโม อเล็กซานเดร” ไปได้อย่างเหนือความคาดหมาย

โจ ณัฐวุฒิ คว้าแชมป์ที่อเมริกา

หลังจากนั้น “โจ” ที่เครื่องเริ่มติดเก็บชัยชนะมา 3 ไฟต์ติดต่อกัน ได้รับโอกาสขึ้นชิงแชมป์รุ่น 154 ป. และสามารถคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ จนทำให้เริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วอเมริกา ซึ่งหลังจากนั้น “โจ” ยังสามารถป้องกันแชมป์เอาไว้ได้อีกถึง 6 ครั้ง ก่อนเบ่งน้ำหนักขึ้นไปคว้าแชมป์เส้นที่สองของรายการในรุ่น 160 ปอนด์ มาครองได้อีก

“โจ” มีสถิติการขึ้นชกในอเมริกาที่น่าทึ่ง ด้วยการเก็บชัยชนะไปได้ถึง 9 ครั้งจากทั้งหมด 10 ไฟต์ โดยครั้งเดียวที่ “โจ” พลาดท่าปราชัย เกิดขึ้นในเดือนพ.ค. 2559 ด้วยการพ่ายให้กับ “The Immortal” รีเกียน เออร์เซล เจ้าของเข็มขัดแชมป์โลก ONE มวยไทย รุ่นไลต์เวต (155 – 170 ป.) ผู้ไร้เทียมทาน คนปัจจุบัน ในรายการ Lion Fight

กระทั่งเดือน เม.ย.61 “โจ” ได้รับโอกาสครั้งสำคัญในการเซ็นสัญญาเข้ามาเป็นนักกีฬาในสังกัดของ ONE อย่างเป็นทางการ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *