แฟนหนุ่มนอกใจเพราะเดินไม่ได้
แห่ให้กำลังใจ ‘พยาบาลสาว’ ถูกรถชนพิการก่อนเรียนจบ 1 เดือน ชีวิตไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
สาวเล่าชีวิตเจ็บปวด ถูกรถชนจนกลายเป็นคนพิการเดินไม่ได้..ก่อนเรียนจบเพียง 1 เดือน ซ้ำร้ายแฟนยังทิ้งไปมีคนอื่นเพราะเดินไม่ได้
ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่เกิดมาปกติครบ 32 ประการ ฉันใช้ชีวิตปกติแบบคนทั่วไป ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง หรือมีความลำบาก แต่…..เมื่อฉันอายุ 23 บริบูรณ์ และฉันกำลังจะเรียนจบ…………..!!!!
เหตุการณ์ที่ฉันไม่ได้คาดฝันมาก่อน
เหตุการณ์ที่นับว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงตัวฉันครั้งยิ่งใหญ่ ฉัน……ประสบอุบัติเหตุ……
ใช่………วันนั้นรถชน และสิ่งที่ตามมาคือร่างกายของฉันตั้งแต่ใต้ราวนมลงมาไม่มีความรู้สึกการประมวลผลร่างกายของนักศึกษาพยาบาลปี 4 ที่อีก 1 เดือนจะเรียนจบและเป็นพยาบาลเต็มตัวในสมองคิดขึ้นมาได้ทันทีว่า……………. ฉันกำลังบาดเจ็บหนัก และกำลังคาบเกี่ยวกับคำว่า จะสามารถกลับมาเดินได้ตามปกติ หรืออาจจะเดินไม่ได้เลย
สิ่งเดียวทีต้องการวันนั้น ฉันแค่รอเพื่อทำการผ่าตัดให้เร็วที่สุด เรื่องอื่นค่อยคุยกันที่หลัง……ฉันยิ้มให้ทุกคนและบอกว่าฉันไม่เป็นไรและหลังจาก ออกมาจากห้องผ่าตัดทุกอย่างจะดีขึ้นฉันยิ้มให้กับทุกคนแล้วบอกทุกคนว่าอย่าร้องไห้ เพราะฉันเป็นคนป่วยฉันยังไม่ร้องไห้ ฉันยิ้มทุกครั้งที่มีคนอยู่ด้วย ทำตัวเองให้ปกติที่สุดเพราะถ้าฉันแสดงออกว่าฉันอ่อนแอเมื่อไหร่นั่นแปลว่า ครอบครัวของฉันจะเป็นกังวล
ฉันประเมินตัวเองหลังผ่าตัดฉันรู้ดีในใจว่าฉันต้องทำกายภาพอีกยาวนานและก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ร่างกายฉันถึงจะฟื้นขึ้นมาได้ฉันรู้ดีว่าฉันกำลังจะเป็นผู้ป่วยเรื้อรังและต้องมีคนค่อยดูแลฉันอย่างใกล้ชิด
ความกังวลที่ตามมากจากการที่คิดว่าอาจจะเดินไม่ได้ความกังวลใจที่มันมากกว่า คือ “ฉันอาจไม่ได้เป็นพยาบาล”สิ่งที่น่ากลัว สิ่งที่ฉันต้องเก็บไว้ และสิ่งที่ฉันต้องฝืนยิ้ม
ฉันทำแบบนั้นซ้ำ ๆ ฝืนยิ้มทั้ง ๆ ที่ใจฉันมันกำลังเศร้ารอยยิ้มของฉันตอนนั้นฉันยิ้มด้วยนัยตาที่ฉันเศร้าหมองจนแฟนคนที่เสียไปพูดกับฉันว่า “อยากร้อง ก็ร้องมันออกมา ตัวเองไม่ต้องทำตัวเข้มแข็งตลอดเวลาก็ได้ เค้ารู้ว่าตัวไม่อยากอ่อนแอให้ใครเห็น” ฉันได้แค่ยิ้มกลับไปแล้วไม่พูดอะไรเลยการรักษาตัวที่โรงพยาบาลนครพิงค์เป็นเวลา 2 เดือนครึ่งพี่นักกายภาพ นักกิจกรรมบำบัดทำหน้าที่อย่างเต็มที่เพื่อให้ร่างกายฉันพยายามฟื้นขึ้นมา แต่เวลา 2 เดือนครึ่งที่ฉันรักษาตัวที่นั่น ฉันแค่กระดิกนิ้วเท้าข้างขวาได้เท่านั่นถึงเวลาต้องกลับมาพักฟื้นที่รักษาตัวอยู่ที่บ้านสิ่งที่ร้ายแรงที่สุดในชีวิตก็เกิดขึ้นระบบทางบ้านร่วนไปหมด ปัญหาหลาย ๆ อย่างเริ่มรุมเร้าเพราะฉันต้องมีคนค่อยดูแล 24 ชั่วโมง แต่ปัญหาคือพ่อแม่ฉันแยกทางกันและก็มีหน้าที่การงานต้องรับผิดชอบไม่สามารถอยู่ดูแลฉันได้ต้องพึ่งแฟนน้องชายที่มาค่อยดูแล อยู่กับป้าที่บ้านฉันได้แค่นอนอยู่บนเตียง ที่นาน ๆ ครั้งฉันจะตะโกนขอคนอื่นมาพลิกตัวให้ เพราะฉันทั้งเกรงใจ และไม่อยากทำให้คนอื่นลำบากตอนนั้นฉันกำลังเริ่มเข้าสู่ภาวะซึมเศร้า
ฉันทำได้แค่อดทนรอ เพื่อพลิกตัวไปมาซ้ายขวารอเวลาเพื่อให้คนอื่นมาพยุงลุกแล้วไปกินข้าวและดีที่สุดคือการนั่งวีลแชร์ไปนั่งสูดอากาศหน้าบ้านตอนนั้นมันอับจน ฉันคิดได้เพียงแค่ว่าฉันพึ่งอายุ 23 ปี ฉันจะต้องเป็นผู้ป่วยนอนติดเตียงและไม่มีโอกาสได้ออกไปไหนมาไหนแบบเมื่อก่อนอีกแล้วทุกวันถ้าต้องไปอาบน้ำ ฉันจะแอบร้องไห้ทุกครั้งเพราะถ้าฉันร้องไห้ให้คนอื่นเห็น คงไม่มีใครสบายใจ
ฉันจะต้องออกมาจากห้องน้ำแบบคนปกติ และก็ยังยิ้มดังเดิมจนแฟนเก่าที่เสียไปแล้วดูท่าว่าจะไม่ดีเลยขออนุญาตให้ฉันไปอยู่ด้วยที่ สามเงา จังหวัดตากเพื่อให้ฉันได้ไปรับการกายภาพที่โรงพยาบาลสามเงา
และเค้าจะเป็นคนดูและ ฉันเลยคิดหารายได้เพื่อช่วยเค้าและเงินที่ครอบครัวส่งมาให้ใช้ฉันถักตุ๊กตาขายเป็นรายได้เสริมในการใช้ชีวิตอยู่ที่สามเงาจนสุดท้ายเป็นอาชีพหลักที่หารายได้พอสมควรในการใช้จ่าย
แต่……เหตุการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของฉันคือแฟนของฉันแอบไปคุยกับผู้หญิงอื่นและปล่อยให้ฉันอยู่ห้องพักคนเดียวเพื่อรอให้เค้ากลับมาตอนนั้นฉันจำได้ดีว่า ตอนเช้าฉันจะได้กินแค่นมมื้อเที่ยงเค้าจะซื้อข้าวกล่องมาวางไว้ให้ และมื้อเย็นก็ไม่ต่างกันและไม่ไปส่งฉันกายภาพที่โรงพยาบาลกว่าจะกลับมาห้องก็ประมาณห้าทุ่มเที่ยงคืน ฉันถึงจะได้อาบน้ำเป็นเวลาแบบนี้เกือบเดือนที่ฉันได้แค่รอ
และสุดท้ายฉันก็ทนไม่ได้ ก็เลยตัดสินใจโทรหาผู้หญิงคนนั้นและฉันก็ได้คำตอบแน่นอนว่าฉันถูกหักหลังจากคนที่รักเค้าแอบไปคุยกับผู้หญิงอื่นเหตุผลข้อเดียวที่ฉันคิดได้คือ ฉันเดินไม่ได้ตอนนี้ที่ฉันถูกทิ้งเพราะฉันเดินไม่ได้ และดูไม่มีอนาคต ฉันหมดประโยชน์ต่อเค้าแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่ต้องมีฉันในชีวิตความเจ็บปวดมากกว่าการผ่าตัดของฉันวันนั้น ก็คือความเจ็บปวดที่ฉันถูกทิ้งในวันที่ฉันกำลังเจ็บป่วยวันนั้นฉันเหมือนตกลงดิ่งไปในหลุม และกำลังโดนกระทืบให้เหยียบจมลงไปในดิน ฉันไม่มีค่าใด ๆ และเป็นที่น่ารังเกียจสำหรับเค้าวันนั้นฉันรับรู้ตัวเองได้เลยว่า การเจ็บปวดที่สุดในชีวิตไม่ใช่ตอนที่ฉันประสบอุบัติเหตุ
แต่การเจ็บปวดที่สุดคือวันที่คนรักของฉันทิ้งฉันไปในวันที่ฉันแย่ที่สุด
(เป็นเวลา 6 เดือนพอดีที่ฉันประสบอุบัติเหตุ และฉันเข้ารับการักษาที่ โรงพยาบาลสามเงาเป็นเวลา 2 เดือน ปัจจุบันแฟนคนนี้ได้เสียชีวิตแล้วเนื่องจากประสบอุบัติเหตุรถชนต้นไม่ ฉันขออโหสิกรรมในทุก ๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเคยทำกรรมด้วยกันมาไม่ว่าจะชาติไหนหรือชาตินี้ ขอให้หมดเวรหมดกรรมกันแค่นี้ และของให้เค้าไปสู่สุขติที่ดี)
ฉันตัดสินใจที่จะกลับเชียงใหม่ทันที และขอเข้ารักษาตัวต่อที่โรงพยาบาลสันทรายเมื่อฉันกลับมาที่โรงพยาบาลสันทราย ฉันได้หอบความเจ็บปวด กลับมาด้วย
ฉันกลับมารักษาทั้งร่างกายและจิตใจ จนเพื่อนที่ขับรถชนด้วยกันกลับมาดูแลฉันอีกครั้งเนื่องจากก่อนหน้านั้นไม่ได้เข้ามาดูแลและแฟนเก่าฉันก็ไม่ให้มายุ่งกับฉัน ฉันได้รับคำปฏิญาณจากผู้ชายคนนี้ว่า
เค้าจะรักฉันไม่ว่าฉันจะหายเดินได้ปกติหรือไม่ปกติก็ตาม ถึงแม้ฉันจะไม่สามารถไปเที่ยวที่ไหนกับเค้าได้เค้าจะเป็นคนมาเที่ยวหาฉันที่โรงพยาบาลเอง เค้าบอกว่าเค้าจะไม่ทำให้ฉันเสียใจเหมือนที่เคยเจ็บมา
เค้าจะดูแลฉันให้ดีที่สุด ด้วยคำพูดของลูกผู้ชาย ความรักครั้งใหม่มันเหมือนจะสวยงาม แต่เมื่อฉันเป็นผู้ป่วยที่ยังไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้มากเท่าไหร่และการกายภาพของฉันยังไม่ค่อยก้าวหน้าเท่าไหร่
สิ่งที่ฉันต้องกลับมาพบเจออีกครั้ง คือการนอกใจ สุดท้ายคำพูดที่เค้าปฏิญาณไว้ทุกอย่าง เค้าทำไม่ได้ สุดท้ายฉันก็แพ้ให้กับผู้หญิงคนอื่นเหมือนเดิม เพียงเพราะฉัน “เดินไม่ได้”
(เป็นเวลา 1 ปี กับ 1 เดือนที่ฉันประสบอุบัติเหตุพอดีที่เค้าทิ้งฉันไป ปัจจุบัน ฉันไม่รู้ว่าผู้ชายคนนี้อยู่ที่ไหนของโลก และฉันก็ไม่รู้ว่าเค้ารู้สึกผิดบ้างมั้ย ที่ทำให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งจากที่เดินได้ปกติแต่กลับต้องมานั่งวีลแชร์ และฟันฝ่าอุปสรรคหลาย ๆ อย่างเพื่อให้เธอกลับมาใช้ชีวิตให้ปกติดังเดิมได้ แต่ฉันไม่ถือโทษโกธรเค้า เพราะฉันต้องขอบคุณเค้าที่เป็นตัวพลักดันให้ชีวิตฉันดีขึ้น และฉันได้ปล่อยคนไม่ดีออกจากชีวิตของฉันไปได้อีกหนึ่งคน นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ฉันเขียนเพจบันทึกจากวีลแชร์ เพียงเพราะตอนนั้นฉ้นต้องการระบายความเจ็บปวดที่ฉันมีให้คนอื่นได้รับฟังฉันบ้าง)
ความเจ็บปวดครั้งนี้ สอนให้ฉันรู้ว่าฉันควรรักตัวเองและทำเพื่อตัวเองให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ฉันพาตัวเองอาสาช่วยทำงานในหอผู้ป่วยไปพูดคุยกับผู้ป่วยและให้กำลังใจฉันกายภาพอย่างหนักเพื่อฟื้นร่างกายให้ได้มากที่สุด ฉันฝึกการใช้วีลแชร์ เพื่อให้วีลแชร์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตฉันฉันสร้างเพจบันทึกจากวีลแชร์เพื่อเขียนให้กำลังใจคนอื่นและตัวเอง ฉันถักตุ้กตาขายเพื่อหารายได้เสริมให้กลับตัวเอง พาตัวเองออกไปทำกิจกรรมข้างนอก พาตัวเองออกไปวิ่ง วิ่งในแบบที่ฉันใช้แขนวิ่ง ฉันฟังคำสอนของพระ ว.วชิรเมธี ทุกคืน ฉันอ่านหนังสือปรัชญาเป็นตั้ง ๆ เพื่อพัฒนาจิตใจและความคิดของตัวเอง
(ทุกกิจกรรมที่ฉันได้ทำ มันทำให้ฉันรู้ว่า ความสุขที่แท้จริงของฉันคือ การทำประโยชน์เพื่อคนอื่น ไม่ว่าจะมากหรือน้อย ทั้งฉันและคนที่ได้รับก็มีความสุขเหมือนกัน คำสอนที่ฉันได้คือ การทำดี ทำไปเรื่อย ๆ สักวันเราก็จะได้รับสิ่งดี ๆ ตอบแทนเอง และฉันก็ทำมันเรื่อย ๆ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่รู้ว่าฉันจะได้รับกลับคืนมาเมื่อไหร่ก็ตาม)
และฉันก็พยายามพาตัวเองเพื่อให้กลับไปเรียนต่อให้จบได้ ฉันได้รับการช่วยเหลือจากโรงพยาบาลสันทรายคุณหมอ ชลาทิพย์ หมอเวชสาสตร์ฟื้นฟูที่รักษาฉัน พี่ ๆ และเพื่อนนักกายภาพ พี่นักกิจกรรมบำบัด โรงพยาบาลสันทราย และผู้ชายคนหนึ่งที่ติดตามเพจฉันตั้งแต่แรก จนวันหนึ่งมีผู้ชายคนนี้……………… : ) ได้แนะนำให้ฉันเขียนฎีกาถึงสมเด็จพระเทพฯ เพื่อกราบทูลขอกลับไปเรียนต่อ และสุดท้ายฉันก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระเทพ ฯให้ฉันได้กลับมาเรียน ในวิชาชีพที่ฉันรักอีกครั้ง “วิชาชีพพยาบาล” ทางวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี เชียงใหม่ ให้โอกาสฉันได้กลับมาฝึกงานที่เหลือให้จบ และดูแลฉันเป็นอย่างดีระหว่างที่ฉันต้องสอบจบของสถาบันราชชนก สอบจบของมหาวิทยาลับเชียงใหม่ และสอบใบประกอบวิชาชีพ ให้ผ่านทั้ง 8 วิชาจนปัจจุบันฉันสามารถจบและกลับมาทำงาน ในฐานะพยาบาลวิชาชีพ ที่โรงพยาบาลสันทราย และกลับมาใช้ชีวิตตามปกติอย่างเคยแค่เพียงฉันมีเก้าอี้ส่วนตัว ที่ไม่ต้องมีใครมาแย่งเก่าอี้ของฉัน (ผู้ชายที่ติดตามเพจฉัน และแนะนำให้ฉันเขียนฎีกาคือแฟนคนปัจจุบันของฉัน ที่เค้าติดตามเพจของฉันตั้งแต่แรก และค่อยให้กำลังใจฉันตลอดมาจนวันหนึ่งมีเหตุการณ์ระเบิดที่สามชายแดนใต้ ฉันเลยทักไปถามไถ่ เพราะเห็นว่าเค้าอยู่แถวนั้น ด้วยความที่เค้าค่อยเป็นห่วงเราเสมอมา เลยให้กำลังใจเค้าไป นั่นคือจุดเริ่มต้นความรักครั้งใหม่ของฉันอีกครั้ง กับผู้ชายที่กรีดยางอยู่ที่สามชายแดนใต้) เกือบจะ 3 ปี กับการเดินทางอันยาวนานของฉันฉันมีคุณย่าที่อยู่ข้างฉันมาตลอด ตั้งแต่วันแรกที่ฉันประสบอุบัติเหตุ ย่าจะพูดเสมอว่า “ถ้ายิวยังสู้ ย่าก็จะสู้ไปกับยิว” นี่คือกำลังใจที่สำคัญที่ทำให้ฉันลุกขึ้นมาสู้ถึงทุกวันนี้ฉันต้องมาเรียนรู้กับร่างกายที่ต้องมีอุปกรณ์พิเศษ กว่ามันจะสวยงามแบบทุกวันนี้ฉันได้ผ่านความเจ็บปวดมามากมาย เพื่อแลกกับการประสบความสำเร็จของฉัน ฉันต้องใช้น้ำตา และความอดทนเพื่อแลกกับสิ่งที่มันคุ้มค่าที่สุดในชีวิตฉัน ฉันพุ่งชนหลายครั้ง เพราะฉันไม่มีทางเลือกอีกแล้ว
ทุกการตัดสินใจกว่าที่ฉันจะประสบความสำเร็จ ฉันแลกมันมาด้วยคำว่า “ไม่ท้อ ไม่ถอย ไม่ถอดใจ”เดือนนี้เป็นเดือนพิเศษ เดือนพฤศจิกายน
สุขสันต์วันเกิดนะ กรรณิการ์ (23 พฤศจิกายน 2535 เธอ 26 ขวบบริบูรณ์)
และขอแสดงความยินดีกับใบปริญญาใบแรกของเธอ เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร (29 พฤศจิกายน 2561)
ต่อจากนี้ไปขอให้เธอพบเจอแต่สิ่งดีงาม
ทำคุณประโยชน์ให้คนอื่นเหมือนที่เธอเคยปฏิญาณไว้
และจงจดจำวันเวลาที่เธอเคยผ่านมา
เพราะทุกเรื่องราวที่เธอได้พบเจอ เป็นเรื่องราวที่ทำให้เธอมีวันนี้ได้
กรรณิการ์ ศรีวิจา พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลสันทราย
ขอบคุณเรื่องราว : บันทึกจากวีลแชร์